วิจัยพบยาปฏิชีวนะได้ผลลดลง 30 % ทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯปีละกว่าหกพันราย
ผลการวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แลนเซ็ทระบุว่า การที่ยาปฏิชีวนะในปัจจุบันมีประสิทธิภาพลดลงถึงร้อยละ 30 นั้น สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นได้ถึงราว 6,300 คนต่อปีในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ต้องผ่านการผ่าตัดทั่วไปที่พบได้บ่อย เช่น การผ่าตัดลำไส้ กระดูกสะโพก รวมทั้งผู้ที่ต้องทำเคมีบำบัดในบางกรณีด้วย
คณะนักวิจัยจากหลายสถาบันในสหรัฐฯ ประมาณการว่า กว่าครึ่งหนึ่งของเชื้อแบคทีเรียทั้งหมดที่ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้หลังการผ่าตัด ดื้อยาปฏิชีวนะที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันในสหรัฐฯเสียแล้ว นอกจากนี้ หนึ่งในสี่ของกรณีติดเชื้อ ที่เกิดขึ้นหลังการรักษาด้วยเคมีบำบัด ก็ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะที่ใช้กันอยู่เดิมแล้วอีกด้วย ซึ่งแนวโน้มล่าสุดนี้ คาดว่าจะทำให้มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นถึง 120,000 รายต่อปี และในจำนวนนี้อาจเสียชีวิตได้เป็นจำนวนหลายพันคน
ศาสตราจารย์รามานัน ลักษมีนารายัน ผู้อำนวยการศูนย์พลวัตของโรค เศรษฐกิจและนโยบายในกรุงวอชิงตันของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะวิจัยนี้ระบุว่า ยาปฏิชีวนะนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญของการแพทย์สมัยใหม่ แต่การที่ยามีประสิทธิภาพลดลงนั้น ทำให้เกิดปัญหาว่าการแพทย์สมัยใหม่กำลังจะไร้ผล การที่เชื้อโรคดื้อยาทำให้มีทารกเกิดใหม่เสียชีวิตจำนวนมากในประเทศกำลังพัฒนา ส่วนในประเทศพัฒนาแล้ว การที่เชื้อดื้อยาได้คร่าชีวิตผู้สูงอายุเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุมีแนวโน้มต้องเข้ารับการผ่าตัดต่างๆ ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อที่จะเกิดตามมาได้อีกต่อไป
ผลการศึกษาล่าสุดดังกล่าว ยืนยันการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การที่เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะจะส่งผลกระทบต่อการแพทย์หลายแขนง รวมทั้งการรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ระดับสูงของอังกฤษเคยระบุไว้ว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นเสมือน “ระเบิดเวลาที่กำลังเดินอยู่” ซึ่งมนุษยชาติเสี่ยงที่จะต้องกลับไปเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากการติดเชื้อเพียงเพราะเกิดบาดแผลเพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับในสมัยโบราณ
ที่มา: บีบีซีไทย